น้ำมันเบรกมีประโยชน์อย่างไร ควรเปลี่ยนตอนไหนจึงจะเหมาะสม

น้ำมันเบรก

น้ำมันเบรกมีประโยชน์อย่างไร ควรเปลี่ยนตอนไหนจึงจะเหมาะสม

สำหรับ​ผู้ใช้งาน​รถยนต์​นั้นคงหลีกเลี่ยง​ไม่ได้​กับการดูแ​ลรถยนต์​ทั้งภายใน​และ​ภายนอก​ ซึ่ง​ถึงแม้ว่า​หลายคนจะยกหน้าที่นี้ให้ศูนย์​บริการ​หรือช่างผู้เชี่ยวชาญ​เป็นคนคอยดูแลให้ แต่เจ้าของ​รถเองก็จำเป็นที่จะต้องมีความรู้​พื้นฐาน​ใน​การ​ดูแล​รถยนต์​ด้วยเช่นกัน

ใบบทความ​นี้​ ก.เจริญ​ยาง​ยนต์​และ​ ก.เจริญ​ค็​อก​พิท​ จะมาพูดถึงของเหลวที่ใช้กับระบบช่วงล่างอย่าง​
“น้ำมัน​เบรก” ว่ามีประโยชน์​อย่างไร​ และควรเปลี่ยนตอนไหน​จึง​จะ​เหมาะสม​

ทำความรู้จัก​ “น้ำมัน​เบรก” 

น้ำมันเบรกคือ น้ำมันไฮโดรลิก(Hydraulic Oil)​ เป็นของเหลวที่ทำหน้าที่​เป็น​ตัวกลางการถ่ายทอด​กำลัง​ หากอธิบาย​ให้เข้าใจได้ง่ายๆ​ ก็คือ​ เมื่อเราเหยียบเบรก​ แรงดันที่เราเหยียบนั้นจะถูกถ่ายทอดไปที่น้ำมันเบรกส่งผ่านไปยังลูกสูบเบรก​ เพื่อให้เกิดการเสียดสี​ระหว่าง​จานเบรกกับผ้าเบรก​ จึงทำให้เราสามารถหยุดหรือชะลอ​ความเร็ว​ของรถได้ตามต้องการ

นอกจากจะทำหน้าที่เป็นตัวกลางแล้ว​ น้ำมันเบรกยังช่วยหล่อลื่น​ รวมถึงช่วยบำรุงรักษาและป้องกันการสึกหรอ​ของระบบเบรกได้ด้วย

น้ำมัน​เบรก​ที่ดี​ควรมีคุณสมบัติ​อย่างไร​

น้ำมันเบรกเป็นส่วนประกอบหนึ่งของรถยนต์ที่ผู้ขับขี่ไม่ควรละเลย​ เราลองมาดูกันว่า​ น้ำมันเบรกที่ดีนั้น​ ควรมีคุณสมบัติ​อย่างไรบ้าง

  • น้ำมันเบรกที่ดีจะต้องมีจุดเดือดที่สูง​ เพื่อส่งเสริม​ประสิทธิภาพ​ที่ดีในการเบรก
  • มีจุดเดือดที่สูง ระเหยได้ยาก
  • เป็นตัวกลางถ่ายทอดกำลังจากแป้นเบรกสู่ระบบเบรกได้ดี
  • ทำหน้าที่เป็นสารหล่อลื่นที่ดี ป้องกันการเสียดสีของชิ้นส่วนภายในระบบเบรก
  • มีความหนืดที่ดี ทั้งในอุณหภูมิที่ร้อนและเย็นจัด
  • ไม่กัดกร่อนโลหะหรือยาง ซึ่งเป็นชิ้นส่วนอะไหล่ในระบบเบรก

แต่นอกเหนือจากคุณลักษณะ​ทั่วไปแล้ว​ ยังมีอีก​ 4 คุณสมบัติที่สำคัญและจำเป็นที่น้ำมันเบรกที่ดีต้องมี​  ได้แก่  

1. หล่อลื่นส่วนต่าง ๆ ในระบบเบรก 

เนื่องจากในระบบเบรกต้องมีการเสียดสีกันของลูกสูบ ลูกยาง ภายในแม่ปั๊มเบรก ลูกปั๊มเบรก นับครั้งไม่ถ้วน ถ้าปราศจากการหล่อลื่นก็จะทำให้เกิดการสึกหรอ และเกิดการรั่ว ที่เรารู้จักกันในคำว่า “เบรกแตก”

2. มีจุดเดือดสูง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการ “น้ำมันเบรกเดือด” หรือ “Vapor lock” อย่างเด็ดขาด 

เพราะเมื่อน้ำมันเบรกเดือด จะมีฟองอากาศเกิดขึ้นในระบบเบรก ทำให้น้ำมันเบรกไม่สามารถถ่ายทอดกำลังในระบบเบรกได้เต็มประสิทธิภาพ เพราะคุณสมบัติของอากาศนั้นสามารถยุบตัวได้ เมื่อเหยียบเบรกจะพบว่า แป้นเหยียบเบรกจมวูบลงไปจนไม่สามารถชะลอความเร็วหรือหยุดรถยนต์ได้ตามปกติ เกิดอาการเบรกไม่อยู่นั่นเอง

3. เก็บกักความชื้น (น้ำ) ได้ดี 

ซึ่งน้ำมันเบรกจะดูดเอาความชื้นจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวเข้ามาเรื่อยๆ จึงมีจุดเดือดต่ำลงเรื่อยๆ เพราะน้ำมีจุดเดือดที่ 100 องศาเซลเซียส ซึ่งจะต่ำกว่าน้ำมันเบรกที่มีจุดเดือดอยู่ที่ 190-200 องศาเซลเซียสขึ้นไป นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญอีกเหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้ต้องเปลี่ยนน้ำมันเบรกตามเวลาหรือระยะทางที่กำหนด

4. ไม่เป็นอันตรายต่อชิ้นส่วนที่เป็นโลหะ

ในระบบ หรือลูกยางต่างๆ เนื่องจากระบบเบรกเป็นระบบที่มีความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าการทำงานของชิ้นส่วนต่างๆ ในระบบไฮดรอลิก(Hydraulic)บกพร่องจะเกิดอันตรายอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการเกิดสนิมในระบบสร้างแรงดัน หรือลูกยางในระบบเบรกเสื่อมสภาพ นอกจากนี้ความความหนืดของน้ำมันเบรกนั้นต้องอยู่ในจุดที่เหมาะสม​ ไม่ข้นหรือเหลวจนเกิดไป​ และสามารถคงสภาพเดิมได้ในทุกอุณหภูมิ​

2 ปัจจัยหลักที่​ทำให้​น้ำมันเบรกเสื่อมประสิทธิภาพ​

สำหรับปัจจัย​หลักๆ​ ที่ส่งผลให้น้ำมันเบรกเสื่อมประสิทธิภาพ​นั้นมีด้วยกัน​ 2 ปัจจัย​ ได้แก่

1.ความร้อน​

การเหยียบเบรกถี่ๆ​ หรือการเหยียบเบรกกะทันหันนั้นจะส่งผลให้น้ำมันเบรกดูดซับ​ความร้อนเอาไว้​ เมื่อระบายความร้อนไม่ทันจนอุณหภูมิ​ถึงจุดเดือด​อาจส่งผลให้น้ำมันเบรกเกิดการระเหย​ จนไม่มีแรงดันกระบอก​ลูกสูบ​ไปเสียดสีกับผ้าเบรก​ จนทำให้รถเบรกไม่อยู่ได้ในที่สุด

2.ความชื้น

น้ำมันเบรกนั้นมีสถานะเป็นของเหลวที่สามารถ​ดูดซับความชื้​นได้​ ยิ่งในประเทศไทยที่มีอากาศร้อนชื้นแล้วด้วยนั้น​ ยิ่งมีโอกาสสูงที่จะทำให้​น้ำมัน​เบรก​เสื่อม​คุณ​ภาพได้​ง่าย เพราะความชื้นที่เกิดขึ้นอาจถูกดูดซึมเข้าไปผสมกับตัวน้ำมันเบรก​ ส่งผลให้มีจุดเดือดที่ต่ำลง อีกทั้งความชื้นอาจเข้าไปกัดกร่อนส่วนที่เป็นโลหะจนเกิดสนิมได้

สัญญาณเตือน! เมื่อไหร่​ต้องเปลี่ยนน้ำมันเบรก

ก่อนอื่นเลยผู้ขับขี่​ต้องทำความเข้าใจก็คือ​ น้ำมันเบรกนั้นถ้าใช้ไปนานๆ​ ก็มีวันที่เสื่อมสภาพ​ได้​เหมือนน้ำมันเครื่อง​ เพราะฉะนั้นเพื่อให้น้ำมัน​เบรก​ทำงาน​ได้​อย่างเต็ม​ประสิทธิภาพ​มากที่สุด​ เราควรเปลี่ยนน้ำมันเบรกทุกๆ​ 1 ปี​ หรือตามระยะทางคือทุกๆ​ 20,000 กิโลเมตร​ หรือลองสังเกต​ดูว่าหากน้ำมันเบรกมีสีคล้ำ​ก็แสดงว่าน้ำมันเบรกเสื่อมสภาพแล้วนั่นเอง

ที่สำคัญคือในการเปลี่ยนถ่าย​น้ำมัน​เบรกทุกครั้ง​ ผู้ขับขี่​ควรเลือกใช้น้ำมันเกรดเดียวกัน​ กับที่เคยใช้ในครั้งก่อนหน้า​ ไม่ควรนำน้ำมัน​เบรก​คนละเกรดมาผสมกันโดยเด็ดขาด​ หรือหากต้องการเปลี่ยนมาใช้น้ำมันเบรกที่เกรดต่างกัน​ ก็ควรถ่ายน้ำมันของเก่าออกมาให้หมดเสียก่อนจึงค่อยเติมน้ำมันใหม่เข้าไป

ข้อแนะนำ​ในการเติมน้ำมันเบรก

สำหรับการเติมน้ำมันเบรกนั้นมีข้อแนะนำและข้อควรระวังอยู่เล็กน้อยด้วยกัน คือห้ามเติมน้ำมันเบรกคนละเกรดผสมกันโดยเด็ดขาด แต่ถ้าหากต้องการเปลี่ยนยี่ห้อหรือเปลี่ยนเกรดของน้ำมันเบรกแล้วล่ะก็​ ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรกของเก่าออกให้หมดเสียก่อนแล้วจึงค่อยเติมของใหม่ใส่ลงไป

โดยทั่วไปผู้ผลิตรถยนต์จะกำหนดให้ใช้น้ำมันเบรก ”DOT” 3 หรือ ”DOT” 4 และ 90% จะเติม ”DOT” 3​ มาจากโรงงาน แต่เมื่อเปลี่ยนถ่ายสามารถใช้ ”DOT” 4​ หรือ ”DOT” 5 ซึ่งมีจุดเดือดที่สูงกว่าได้ ที่สำคัญเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ในระบบเบรก ควรเปลี่ยนถ่าย “น้ำมันเบรก” ทุกๆ 1 ปี หรือตามระยะทางคือทุกๆ​ 20,000 กิโลเมตร

สรุป

น้ำมันเบรกนั้นเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญ​กับระบบภายในรถยนต์​ที่ส่งผลในเรื่องความปลอดภัยของผู้ขับขี่โดยตรง​ เพราะฉะนั้นเจ้าของ​รถ​จึงไม่ควรละเลยในการตรวจเช็กและเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรกอยู่เสมอ​ เพื่อให้ระบบเบรกทำงานได้อย่างเต็ม​สมรรถนะ​ เพื่อความปลอดภัยต่อผู้ใช้งาน

ลูกค้าสามารถปรึกษาเรื่องรถยนต์ของท่านกับเราได้ หรือหากต้องการตรวจเช็กสภาพรถยนต์ของท่าน สามารถ​นำรถเข้ามารับบริการได้ที่​ ก.เจริญ​ยาง​ยนต์​ และ​ ก.เจริญ​ค็อกพิท​ เรามีพนักงานผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์​พร้อมให้บริการ​คุณ​

นอกจากนี้เรายังมีโปรโมชั่น​ ในทุกๆ เดือน โดยลูกค้าสามารถเข้ามาติดต่อสอบถาม

สาขาสุขุมวิท 91 : 02-331-9911

Line: @kc4418 

พิกัด: https://g.page/KCharoenYangyont?share

สาขาอุดมสุข (K Charoen Cockpit): 02-393-3356

Line: @kcockpit 

พิกัด: https://goo.gl/maps/W3xSvEGTiWKQB5Ce7

 

0 Comments

ใส่ความเห็น


ให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญ

เราพร้อมบริการและให้คำแนะนำคุณ
ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญกว่า 35 ปี

© 2009 - 2017 K.Charoenyangyont Co., Ltd. & Mink & Seen Co., Ltd.